วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559

'กรมสุขภาพจิต' ผวาคนเหนือฆ่าตัวตายพุ่ง

น.พ.ประภาส อุครานันท์ ผอ.รพ.จิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ นำเสนอปัญหาการฆ่าตัวตายในสังคมไทย เพื่อสร้างความตระหนักถึงความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการฆ่าตัวตาย รวมถึงแนวทางการป้องกัน ภายในการประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ครั้งที่ 15 และประชุมวิชาการสุขภาพจิตและจิตเวชเด็ก ครั้งที่ 13 จัดโดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เมื่อเร็วๆ นี้ว่า มีการคาดการณ์จากหลายฝ่ายทั่วโลกว่า ในช่วง 20-30 ปีนี้ โรคมะเร็ง หรือโรคติดต่อร้ายแรงที่เป็นสาเหตุทำให้มีการเสียชีวิตสูงจะลดความรุนแรงลง เนื่องจากความรู้ทางการแพทย์และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้า แต่ปัญหาสุขภาพจิตและการทำร้ายตัวเองจะทวีความรุนแรงมากขึ้นตามปัญหาสังคมที่มีความซับซ้อน สำหรับประเทศไทย การคาดการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะผู้คนในสังคมไทยยังไม่ให้ความสำคัญในการรักษาสุขภาพจิตมากเท่ากับการรักษาสุขภาพกาย

ผอ.รพ.จิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ กล่าวว่า ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2556-2558 จังหวัดในภาคเหนือ ยังคงมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าภาคอื่น ทั้งนี้ ในปี 2558 พบว่า ช่วงอายุ 30-54 ปี มีการฆ่าตัวตายมากกว่าช่วงอายุอื่น โดยเฉพาะช่วงอายุ 35-39 ปี มีการฆ่าตัวตายสูงสุด เพศชายยังคงฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าเพศหญิง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญนำไปสู่การฆ่าตัวตายมีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัยที่ควรร่วมมือกันเฝ้าระวังและป้องกันอย่างจริงจัง ได้แก่ ปัญหาความสัมพันธ์ เช่น การน้อยใจ ถูกดุด่า โดนตำหนิ ทะเลาะกับคนใกล้ชิด หุนหันพลันแล่น ถูกนอกใจ อกหักรักคุด รวมไปถึงมีปัญหาติดสุรา ยาเสพติด ทรมานจากโรคเรื้อรัง เป็นโรคจิต โรคซึมเศร้าอยู่เดิม เคยทำร้ายตัวเองมาก่อน ตลอดจนมีปัญหาเศรษฐกิจ ยากจน ขัดสน เงินไม่พอใช้ เสียทรัพย์จากการพนัน เป็นต้น

"ขอย้ำว่าการฆ่าตัวตาย สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยซึ่งอยากให้มองว่าการฆ่าตัวตาย เป็นเหมือนโรคๆ หนึ่ง ที่รักษาได้ และป้องกันได้ ด้วยความร่วมมือจากทุกคน ซึ่งองค์การอนามัยโลกก็ได้กำหนดมาตรการป้องกันการฆ่าตัวตายให้ประเทศทั่วโลกได้ยึดถือปฏิบัติ กำหนดเป้าหมายร่วมกันที่จะลดอัตราการฆ่าตัวตายในแต่ละประเทศ ให้ลดลงจากเดิม10%ภายในปี พ.ศ.2563 ซึ่งประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ คือ อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จ ไม่เกิน 6.5 ต่อแสนประชากร" น.พ.ประภาส กล่าว

ด้าน น.พ.ปทานนท์ ขวัญสนิท จิตแพทย์ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กล่าวว่า ไม่ใช่เพียงประเทศไทยเท่านั้นที่กำลังถูกภัยร้ายนี้คุกคาม แต่ทั่วโลกเองก็กำลังเผชิญกับปัญหานี้เช่นเดียวกัน เพราะการมองข้ามความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิต ที่เห็นได้จากงบลงทุนในการดูแลสุขภาพจิตทั่วโลก มีเพียงร้อยละ 2.8 และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับเพียงร้อยละ 0.44 อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับหลายประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว อัตราการฆ่าตัวตายของไทยยังจัดอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้ การแก้ปัญหาการฆ่าตัวตายที่สำคัญ คือ ต้องขับเคลื่อนด้วยผู้กำหนดนโยบายอย่างจริงจังพร้อมมีข้อมูลหลักฐานวิชาการที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาขับเคลื่อนไปได้

พ.ต.ท.หญิง พ.ญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล จิตแพทย์ประจำกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด รพ.ตำรวจและอดีตรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ความจริงแล้ว อัตราการฆ่าตัวตายของข้าราชการตำรวจไม่ได้สูงกว่าอาชีพอื่นเลย แต่ด้วยอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จที่สูงกว่าคนทั่วไปถึง 2-3 เท่า ทำให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายสูงกว่าอาชีพอื่น เนื่องจากมีอาวุธปืนในครอบครองนั่นเอง การที่มีอัตราการปลิดชีพตัวเองสูงมีสาเหตุจากลักษณะงานที่มีความเสี่ยงสูง ภาระงานมาก มีปัญหาด้านการเงิน ภาระหนี้สิน ส่งผลให้เกิดความเครียด รวมทั้งยังพบว่าบางรายมีอาการทางจิตและโรคซึมเศร้า ยิ่งกว่านั้น สังคมภายนอกยังมองตำรวจในแง่ลบมากขึ้น สิ่งเหล่านี้คือ ชนวนที่นำไปสู่ปัญหาการฆ่าตัวตาย

ที่มาของข่าว www.ryt9.com


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น